บทความ
Articles

การสวดมนต์คืออะไร

การสวดมนต์ คือการสาธยายคําบาลีที่เกี่ยวกับ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ และ การแผ่เมตตา จะเห็นได้ว่า ในบทสวดมนต์ เช่น รัตนปริตรโมรปริตร กล่าวถึงคุณของพระรัตนตรัย เมตตปริตร กล่าวถึงการแผ่เมตตาเป็นหลัก ส่วนขันธปริตร กล่าวถึงการแผ่เมตตาและคุณของพระรัตนตรัยทั้งสองอย่าง นอกไปจากการสาธยายคําบาลีแล้ว ชาวพุทธยังนิยมสวดคําแปลของคําบาลีเหล่านั้นอีกด้วย เพื่อให้เราเข้าใจว่ากําลังกล่าวถึงอะไร จึงจะทําให้เข้าใจสิ่งที่กําลังทําอยู่อย่างชัดเจน การสวดมนต์ไหว้พระเป็นมรดกทางพระพุทธศาสนาที่สมควรได้รับการสืบทอดต่อไปให้ยาวนานชั่วลูกชั่วหลาน การสวดมนต์นั้น ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับทุกคนในยุคนี้ สะดวกมากในทุกเพศ ทุกวัยและไม่ใช่เรื่องของคนแก่ คนเคร่งครัดอีกต่อไปเหมือนที่เคยเป็นและเราเข้าใจผิดกันอย่างนั้น บทสวดมนต์ต่างๆ มีการเผยแพร่ออกมามากมายในรูปแบบต่างๆ ที่เห็นกันและได้ยินกันจนเคยชินมากมาย จุดประสงค์การสวดมนต์ ๑. การฝึกใจ การสวดมนต์ไหว้พระ คือการฝึกใจนั่นเอง การฝึกใจหรือการ ฝึกจิตนั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่าง มากในการดำเนินชีวิต ใครที่ไม่รู้จักการฝึกจิต เขาจะเป็นคนที่เอาชนะตนเองไม่ได้เลย หลักการฝึกจิตที่ท่านควรทำทุกๆวัน มีดังนี้ ๑. การสวดมนต์ หรือนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ ๒. การทำใจให้นิ่งหรือเป็นสมาธิ ๓. การแผ่เมตตา แก่สรรพสัตว์ถ้วนหน้า แม้แต่แก่ศัตรูของท่าน ๔. จงสร้างจิตของท่านให้มีอำนาจในทางที่ดี หรือทางที่เป็นกุศล ๒. การสวดมนต์ การสวดมนต์ เป็นการฝึกจิตที่ดีที่สุดประการหนึ่ง คนที่สวดมนต์นั้นต้องสวดด้วยความศรัทธาในศาสนาที่เขานับถือ และควรทำเป็นกิจวัตรประจำวันจนเคยชินหรือเป็นกิจปกติ หลักเกณฑ์ในการสวดมนต์ มีดังนี้ ๑. จงสวดมนต์เมื่อท่านอยู่ลำพังคนเดียว ๒. จงสวดมนต์ในที่ๆเงียบสงบ ๓. จงพยายามขจัดอารมณ์ชั่วไปจากจิต ๔. จงผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ๕. จงเพ่งสมาธิ หรือ มีสติในการสวดมนต์ทุกครั้ง ๑๐ วิธีสวดมนต์ ที่ทำแล้วชีวิตดี มีความสุข ๑. ก่อนสวดให้เลือกเวลาและสถานที่ ที่จะมีสิ่งรบกวนน้อยที่สุด ๒. ชำระความคิดและจิตใจให้ปลอดโปร่งที่สุด อะไรที่ทำให้คิดมาก จิตตก รู้สึกแย่ อาฆาต พยาบาท โกรธเคือง โยนทิ้งออกไปก่อนชั่วคราว ๓. ความยาวของคาถา ชุดคาถาที่พอปรับแต่งสมาธิให้กับตัวเองได้สัก 3-5 นาที เป็นอย่างต่ำ ๔. อย่าโฟกัสให้จิตจ้องลาภ เพราะนั่นเท่ากับว่าเราหมกมุ่นยึดติดกับเงินทองมากเกินไป ควร กำหนดที่การใช้เวลาสวดไปเพื่อการปรับแต่งสมาธิและจิตให้ว่างเปล่า บริสุทธิ์ พร้อมจะคิดอะไรใหม่ ๆ ดี ๆ เพิ่มขึ้นมาได้ ( คิดดี ทำดี เป็นรากฐาน ก็คือการได้รับสิ่งดี) ๕. นั่งในท่าที่สบาย ขัดสมาธิก็ได้ พับเพียบก็ได้ แต่ก็ให้เป็นท่าที่สามารถอยู่นิ่งได้นาน ไม่ปวด ทรมาน ไม่เหน็บชา จนต้องขยุกขยิกบ่อย ๆ ให้เสียสมาธิ ๖. เคล็ดลับการนั่งสวดมนต์ (ไปจนถึงนั่งสมาธิ) นาน ๆ ก็คือ ควรนั่งให้หลังตรง ไม่ค่อมตัว ไม่แอ่นตัว เพื่อเปิดทางเดินหายใจให้โล่ง พร้อมรับลมหายใจที่ไหลเวียนได้สะดวก (ออกซิเจนมีผลต่อระบบร่างกายเรา หากไม่ได้รับในปริมาณที่เพียงพอ เพียงแค่เรานั่งผิดองศา เราจะง่วงซึม ปวดเมื่อย รู้สึกมึน) ๗. ผลพลอยได้จากการนั่งหลังตรง ไม่เพียงแต่สมาธิที่ดี แต่ยังได้บุคลิกภาพที่สง่างามด้วย ๘. ในขณะที่สวดมนต์จะเปล่งออกเสียง หรือ พูดแบบกระซิบก็ได้ ในทางความเชื่อการสวดให้ ชัดถ้อยชัดคำ ก็เพื่อให้พระท่านรับรู้ว่าเราต้องการจะสื่อสารอะไร ท่านจะได้ประทานพรได้ถูก แต่ถ้ามองในทางวิทยาศาสตร์หรือจิตวิทยา เสียงที่เปล่งออกมา ปากที่ขยับ มันคือการฝึกจิตให้จดจ่ออยู่กับปัจจุบันที่สุด) ๙. นั่งสมาธิเพื่อภาวนา แผ่เมตตาให้กับสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย และสิ่งที่มองไม่เห็น ที่มีผลต่อชีวิต เรา ทั้งในด้านดีและด้านร้าย ทั้งในด้านที่เป็นมิตรและเป็นศัตรู ๑๐. หลังจากสวดมนต์จบแล้ว พยายามตัดนิสัยไม่ให้ตัวเองผิดศีล 5 ถ้าเป็นเวลานอน (สวดมนต์ก่อนนอน) สวดมนต์-นั่งสมาธิแผ่เมตตาเสร็จแล้ว ก็รีบนอนเลย อย่าประวิงเวลาเพื่อให้นอนฝันดีที่สุดจากจิตที่เพิ่งชำระสะอาดมาหมาด ๆ ประโยชน์ของการสวดมนต์ ไหว้พระ ๑. ทำให้ระลึกถึงคุณความดี ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้มีความรู้สึกละอายแก่ใจ และเกรงกลัวต่อการทำชั่ว ถ้าสวดมนต์พร้อมคำแปลจะทำให้เข้าใจคำสอนไปด้วย ๒. เป็นการฝึกสมาธิ คือ ให้ใจมีความสงบตั้งมั่นอยู่กับคำสวดมนต์อย่างต่อเนื่อง ๓. ฝึกให้มีสติ เห็นหรือรู้เท่าทันอาการของจิต หรือกิริยาของจิต หรือพฤติแห่งจิตที่แสดง ออกมาเป็นความคิด นึก ตรึก ตรอง ปรุงแต่งและอารมณ์ต่างๆ แทรกคำสวดมนต์เป็นระยะๆ ๔. มีปัญญาเห็นว่า ถ้าขาดสติเผลอเพลินติดไปกับความคิด นึก ตรึก ตรอง ปรุงแต่งอารมณ์ ต่างๆ เหล่านั้นก็จะทำให้ลืมคำสวดมนต์และจะทำให้เกิดทุกข์ ถ้ามีสติ สมาธิ ปัญญารู้เท่าทัน ก็จะไม่เผลอเพลินติดไปกับสิ่งใดให้ใจเป็นทุกข์ เรียกว่า เห็นอริยสัจจ์ ๕. ฝึกสติ สมาธิ ปัญญา รู้คำสวดมนต์ควบคู่ไปกับรู้ความ คิด นึก ตรึก ตรอง ปรุงแต่งและ อารมณ์ต่างๆ ที่เกิดแทรกคำสวดมนต์ได้ทุกความคิดอย่างต่อเนื่อง โดยรู้อยู่กับที่ ไม่เผลอเพลินติดไปเลย แล้วจะรู้หรือเห็นจิตที่คิด นึก ตรึก ตรอง ปรุงแต่ง และอารมณ์ต่างๆ นั้นเกิดขึ้นดับไปๆ ๆ เป็นการเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะทำให้ไม่ขาดสติเผลอเพลินติดไปกับความรู้สึก นึก คิด ตรึก ตรอง ปรุงแต่งและอารมณ์ใดเลย ก็จะพ้นทุกข์ อานิสงส์สวดมนต์ การสวดมนต์ เป็นเส้นทางบุญที่ยอดเยี่ยม และมีอานิสงส์มากมาย สรุปพอเข้าใจง่ายๆ คือ ๑. กาย วาจา ใจ สงบ เป็นอานิสงส์แรก ที่คนสวดมนต์จะได้รับ คือ ความสงบทางกาย วาจา และใจ อันเป็นความสุขสงบที่งดงามและยอดเยี่ยม ๒. ชีวิตและจิตใจมีพลังมากขึ้น การสวดมนต์เป็นการเพิ่มพลังให้กับชีวิตและจิตใจได้ อย่างมหัศจรรย์ เป็นขุมพลังที่เชื่อมต่อได้อย่างดีและไม่มีวันสิ้นสุด ท่านที่สวดมนต์บ่อยๆ จะทราบได้เป็นอย่างดี ๓. อธิษฐานจิตได้แรง เมื่อเราสวดมนต์ ความสงบทางกาย วาจาและใจมีมาก ขุมพลัง ในชีวิตและจิตใจเพิ่มเท่าทวี ดังนั้น การอธิษฐานจิตจะแรง และมีอานุภาพมหาศาล ๔. เข้าถึงจิต และรู้เท่าทันอารมณ์มากขึ้น ข้อนี้ หากใครที่ทำอย่างต่อเนื่อง จะเข้าถึง จิตใจในความละเอียดนั้น มากขึ้นเรื่อยๆ จะรู้เท่าทันอารมณ์และระงับอารมณ์ที่เศร้าหมอง หรือไม่ดีได้ง่าย ๕. เป็นที่รัก มากบารมี ความเป็นที่รักของคนที่สวดมนต์ภาวนานั้น เป็นอานิสงส์ที่แผ่ไป ได้อย่างอัศจรรย์ เพราะหากใครได้สวดมนต์ภาวนาบ่อยๆ ความร่มเย็นภายในตนจะแผ่ไปได้ ทำให้คนที่อยู่รอบกายก็ดี เทพเทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ นาค ครุฑ คนธรรพ์ ฯลฯ ต่างจะรับรู้ได้ ทำให้เขาเป็นที่รัก ๖. มีปัญญามองทะลุ คนที่สวดมนต์บ่อยๆ จะมีปัญญาแทงทะลุในอุปสรรคต่างๆ ได้ง่ายกว่า คนที่ไม่ได้สวดมนต์ เพราะการสวดมนต์ทำให้จิตใจนิ่งสงบ มีพลังทางจิตค่อนข้างดี ดังนั้น จะมีปัญญา กว่าคนที่ไม่ได้สวดมนต์ เพราะการสวดมนต์สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม หากคิดอะไรไม่ออก ขอให้สวดมนต์บ่อยๆ หรือมีคำบริกรรมใดๆ คำให้พลังที่เราคุ้นเคยก็ใช้ภาวนาได้ จะทำให้เกิดพลังทางจิตใจได้เช่นกัน ๗. พลิกดวงเปลี่ยนราศี ข้อนี้ เป็นอานิสงส์ที่ยอดเยี่ยมและน่าอัศจรรย์ใจ ที่การสวดมนต์ จะพลิกดวง เปลี่ยนราศีที่ไม่ดี หรือมีปัญหาให้ผ่านอุปสรรคต่างๆไปได้อย่างน่าสนใจ เพราะการได้สวดมนต์ เหมือนการทำบุญสะเดาะเคราะห์ดวง ต่ออายุให้ตน แต่มีอานิสงส์มาก และมีความอัศจรรย์อย่างที่สุด ๘. เข้าถึงคุณวิเศษอื่นๆ การสวดมนต์ เป็นข้อปฏิบัติหนึ่งที่จะนำสู่คุณธรรมที่ยอดเยี่ยมอื่นๆ ในทางพระพุทธศาสนาเชื่อกันว่า เป็นแนวทางสู่ความเป็นเลิศในด้านต่างๆ ที่ผู้ปฏิบัติแล้วเท่านั้น จะเข้าใจและเข้าถึงได้ ดังนั้น การสวดมนต์เป็นเหมือนประตูทางจิต ที่จะนำเราสู่โลกที่มหัศจรรย์ได้ ๙. สู่การบรรลุธรรม การบรรลุธรรม เป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของชาวพุทธ เป็นความยอดเยี่ยม และงดงามที่สุดของการปฏิบัติ ไม่ว่า จะด้วยวิธีใด ก็มุ่งสู่การบรรลุธรรมนี้ และการสวดมนต์ก็ด้วย นอกจากจะนำสู่คุณวิเศษอื่นๆได้แล้ว ก็นำสู่การบรรลุธรรมได้อย่างน่าอัศจรรย์ ดังนั้น การได้สวดมนต์ จึงเป็นทางอันยอดเยี่ยม ที่จะทำให้คนที่มุ่งมั่นที่จะทำ ได้พบกับความอัศจรรย์ต่างๆ เป็นการปฏิบัติที่ทำได้เลย เพียงแต่การสู้กับจิตใจตนนั้น เป็นเรื่องยาก ที่จะขัดเกลา หรือมุ่งปฏิบัติได้อย่างต่อเนื่อง สวดมนต์บำบัด มีวิธีการและจุดประสงค์ที่ หลากหลาย สรุปออกมาได้ ๓ แบบ ๑. การสวดมนต์ด้วยตัวเอง เป็นการเหนี่ยวนำตัวเอง จึงเป็นที่มาของคำว่า Prayer Therapy ถือเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพราะหากใครสักคนคิดที่จะสวดมนต์ นั่นหมายความว่าเขากำลังมีความปรารถนาดีต่อตนเอง วิธีปฏิบัติ - ควรสวดด้วยตัวเอง และไม่ควรสวดมนต์หลังกินอาหารทันที ควรทิ้งช่วงให้ร่างกายเริ่ม ผ่อนคลาย อาจเป็นเวลาก่อนเข้านอน - หาสถานที่ ที่สงบเงียบ - สวดบทสั้น ๆ ๓-๔ พยางค์ โดยใช้เวลาประมาณ ๑๐-๑๕ นาทีขึ้นไป จะทำให้ร่างกายได้ หลั่งสารซีโรโทนิน แต่หากสวดมนต์ด้วยบทยาวๆ จะได้ความผ่อนคลายและความศรัทธา - ขณะสวดมนต์ให้หลับตา สวดให้เกิดเสียงดังเพื่อให้ตัวเองได้ยิน ๒. การฟังผู้อื่นสวดมนต์ เป็นการเหนี่ยวนำโดยคลื่นเสียงจากผู้อื่น เช่น การฟังเสียงพระสวดมนต์ เสียงผู้นำสวดใน ศาสนาต่างๆ หากผู้สวดมีสมาธิ เสียงสวดนั้นจะนุ่ม ทุ้ม ทำให้เกิดคลื่นที่ช่วยเยียวยา (healing) ผู้ฟัง แต่หากผู้สวดไม่มีสมาธิ ไม่มีความเมตตา เสียงสวดที่เกิดขึ้น อาจเป็นคลื่นขึ้นๆลงๆ นอกจากจะไม่ช่วยเยียวยาอาการป่วย อาจทำให้เสียสุขภาพได้ ๓. การสวดมนต์ให้ผู้อื่น ปรากฏการณ์มากมายที่เราเห็นในสังคม เมื่อใครสักคนเจ็บป่วย เรามักสวดมนต์อธิษฐานขอให้ ความเจ็บป่วยของเขาหายไป บางครั้งอยู่ห่างกันคนละซีกโลก เสียงสวดมนต์เหล่านี้จะมีผลทำให้สุขภาพเขาดีขึ้นจริงหรือไม่ คลื่นสวดมนต์ เป็นคลื่นบวก เพราะเกิดจากจิตใจที่ดีงาม ปรารถนาดีต่อผู้ป่วย และเมื่อเราคิดจะส่งสัญญาณนี้ออกไปสู่ที่ไกลๆ มันจะเดินทางไปในรูปของคลื่นไฟฟ้า ซึ่งมนุษย์มีเซลล์สมองที่สามารถส่งสัญญาณคลื่นไฟฟ้า และสารเคมีได้ถึง สิบยกกำลังสิบ คลื่นนี้จึงเดินทางไปได้ไกลๆ การรับรู้ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้รับผู้ส่งด้วย ถ้าคนไหนรับสัญญาณคลื่นแห่งบทสวดมนต์ได้ จึง ได้ผล เหมือนเราเปิดวิทยุ ถ้าคนฟังปิดหูก็จะไม่ได้ยิน ดังนั้นถ้าต่างฝ่ายต่างเปิดรับคลื่นบวกที่เราส่งไป ผู้ป่วยก็จะได้รับ และทำให้อาการป่วยดีขึ้นได้ ไม่ใช่เรื่องของความมหัศจรรย์ แต่เป็นหลักธรรมชาติทั่วไป ทำไมต้องสวดมนต์ การสวดมนต์เป็นกุศโลบายที่จะทำให้จิตมีสติและตั้งมั่นเป็นสมาธิอยู่กับบทมนต์ที่สวด จึงถือ ได้ว่าเป็นการพัฒนาจิตให้มีสติขั้นต้นในรูปแบบของสมถภาวนา นอกจากทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว การสวดมนต์ยังมีผลดีต่อสุขภาพด้วย เพราะเจริญสติแล้วสมาธิย่อมเกิด และเมื่อสมาธิเกิด จิตจะตั้งมั่นเป็นสมาธิ ทำให้การปรุงแต่งของจิตเป็นอารมณ์ลดน้อยลง และส่งผลให้พลังงานของร่างกายเพิ่มมากขึ้น ความเจ็บไข้ได้ป่วยจึงลดลงเป็นธรรมดา และมีสุขภาพร่างกายดีเป็นผลในเบื้องสุด สวดมนต์อย่างไรให้ถูกวิธี วิธีสวดมนต์ให้ดีที่สุดคือ ต้องสวดด้วยการให้จิตจดจ่ออยู่กับบทสวดมนต์ ระลึกถึงคุณของพระ พุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ด้วยใจที่นอบน้อม อ่อนน้อม ศรัทธา และเชื่อมั่นในคุณธรรมของพระพุทธเจ้า และควรจะสวดออกเสียงเพื่อทำกรรมทั้งสามให้สมบูรณ์ คือ มโนกรรม กายกรรม และ วจีกรรม ผลของกุศลจึงจะเกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ สำหรับเรื่องภาษาของบทมนต์ที่ใช้นั้น จะใช้ภาษาอะไรก็ได้ แต่ต้องไม่ผิดเพี้ยนไปจากต้นฉบับ ยิ่งรู้ความหมายของบทสวดมนต์ที่สวดด้วยยิ่งดี เพราะเท่ากับเป็นการเจริญปัญญาให้ถูกตรงได้ในอีกทางหนึ่งด้วย หากบุญเก่าส่งผลถึงพร้อม สามารถทำให้บรรลุธรรมขณะที่กำลังสวดมนต์เลยก็เป็นได้ ๕ หลุมพราง ที่พบได้บ่อยของนักภาวนา ๑. เร่งความเร็วเพื่อทำรอบให้ สวดมนต์ ได้เยอะๆ บางคนเน้น สวดมนต์ ให้ได้ยาวๆ หรือสวดให้ได้หลายๆรอบ ซึ่งเป็นการสวดมนต์ด้วยใจ ที่รีบเร่ง แทนที่จะทำให้ใจเย็นลง การสวดมนต์แบบนี้จะยิ่งทำให้ใจร้อนมากขึ้นและโกรธง่าย โดยเฉพาะเวลาไม่ได้ดั่งใจ เราจึงควรสวดมนต์ด้วยความเร็วที่เหมาะสม และไม่ควรมุ่งเน้นไปที่ปริมาณการสวด แต่ ควรเน้นไปที่ความสงบของจิตใจ ๒. ใจลอยตลอดการสวดมนต์ บางคนจิตไม่ได้จดจ่ออยู่กับบทสวด แต่กลับฟุ้งซ่านคิดถึงเรื่องอื่น การสวดมนต์แบบนี้จะ ยิ่งทำให้เป็นคนเหม่อลอย ไม่มีสมาธิมากยิ่งขึ้น เราจึงควรรวบรวมสมาธิและจดจ่ออยู่กับการสวดมนต์ ๓. สวดมนต์ด้วยความคาดหวัง บางคนสวดมนต์ด้วยความคาดหวังว่าบทสวดมนต์จะทำให้ได้สิ่งที่ต้องการ เช่น ร่ำรวย สมหวังในความรัก สุขภาพดี มีความสุข เสริมชะตา แก้กรรม สะเดาะเคราะห์ การทำไปด้วยความคาดหวังแบบนี้ก็ไม่ต่างจากความเชื่อของศาสนาอื่นที่มีกิจกรรมการสรรเสริญพระเจ้า เพื่อคาดหวังให้พระเจ้าบันดาลสิ่งที่เราต้องการ การสวดมนต์เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการนั้นไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และไม่ทำให้เรา ได้สิ่งที่ปรารถนา การทำด้วยความเชื่อแบบนี้จึงขัดแย้งกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน พระองค์สอนว่า หากเราต้องการอะไรให้ลงมือทาเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ เราจึงควรสวดมนต์โดยมุ่งเน้นไปที่การสรรเสริญพระพุทธเจ้า ด้วยจิตศรัทธาอย่างแรง กล้า จึงจะเป็นการสวดมนต์ที่ถูกทาง ๔. ชอบสวดมนต์แต่ไม่เลิกทำบาป คนจำนวนมากได้แต่สวดมนต์ แล้วก็หยุดอยู่แค่นั้น เขาจึงเป็นคนที่บาปก็ยังทำ ศีลก็ไม่มี บุญกิริยาวัตถุ 10 ก็ไม่ค่อยทำ หากใครสวดมนต์แล้วเป็นแบบนี้ ก็แปลว่า กิจกรรมสวดมนต์ไม่ได้ทำให้เขาเข้าใกล้คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามากขึ้นเลย เขาจึงเป็นคนสวดมนต์ที่ยังคงเป็นคนเดิม (ไม่ได้ดีขึ้น เคยทำอะไรไม่ดีก็ยังทำเหมือนเดิม) ในขณะที่หลายๆคนมีจุดเริ่มต้นจากการสวดมนต์ แล้วได้ฟังธรรม ได้ทำบุญ ได้รักษาศีล (ละบาป) ได้เจริญภาวนา การทำแบบนี้เป็นแนวทางที่น่าสรรเสริญ เพราะเป็นการก้าวข้ามการสวดมนต์เข้ามาสู่คำสั่งสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ๕. สวดด้วยความงมงาย หลายคนชอบสวดมนต์ แทนที่จะเดินเข้าไปใกล้พระพุทธศาสนามากขึ้น แต่กลับก้าวออก นอกกรอบ แล้วหลงไปหาความเชื่อผิดๆ ที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน เช่น ฤกษ์ยาม ดูดวง แก้กรรม เครื่องราง ของขลัง พระเครื่อง ปีชง โหงวเฮ้ง ฮวงจุ้ย ฯลฯ ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากพระในวัดที่เราไปสวดมนต์ หรือคนที่ไปสวดมนต์ที่เดียวกันเป็นคนชักจูงให้เราสนใจสิ่งเหล่านี้ หากใครสวดมนต์แล้วเป็นแบบนี้ ก็แปลว่าเขาเป็นคนสวดมนต์ที่กำลังออกห่างจากคำสั่ง สอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งเราไม่ควรจะตกหลุมพรางแบบนี้เด็ดขาด นอกจากหลุมพรางทั้งห้าข้อนี้แล้ว การปฏิบัติธรรมนั้นยังมีหลุมพรางอีกหลายๆ ประการด้วยกัน ผู้ปฏิบัติจะต้องหมั่นสำรวจตรวจสอบตนเอง คุณธรรมทั้งหลายที่มีอยู่ในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นเปรียบดังเครื่องมือ ที่ผู้ปฏิบัติทุกคนต้องใช้ให้ครบทุกชนิด ทั้งวิธีคิด วิธีกำกับกายวาจา วิธีกดข่มกิเลสเบื้องต้น วิธีลดความฟุ้งซ่าน วิธีหาอุบายธรรม และ วิธีขัดเกลาจิตใจให้รู้เห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง

อัพเดท

13 ก.ย. 2565 16:28